วันพุธ, กันยายน 19, 2550

ประชาไท เสรีหรือแอบแฝง?

อ่านข่าวนี้ http://www.prachatai.com/ireport/view.php?id=69 ในประชาไทย แล้วหงุดหงิดใจ

คนรายงานอ้างว่าเป็นบทความ แต่เนื้อหาที่แค่ 2-3 ประโยค ที่เหลือลอกรายงานของ Forbes มาทั้งดุ้น และไม่ได้บอกที่มาที่ไป

ส่วนที่แย่ที่สุดคือ ประชาไท ปิดกั้นไม่ให้แสดงความเห็นในรายงานนี้ เท่ากับปิดช่องทางที่จะอธิบายให้คนเข้าใจเรื่องนี้อย่างมีสติมากขึ้น

คงต้องถามประชาไทว่า เป็น ไท จริงหรือ? หรือเป็นทาสใคร? หรือความคิดอะไร?

แล้วต่างจากสื่อเลวอื่นๆอย่างไร?


เมื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประชาไทไม่ได้ ก็ขอให้ที่นี่แล้วกัน
มูลค่าทรัพย์สินที่ Forbes เอาไปจัดอันดับ คือมูลค่าทรัพย์สินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพสินของสถาบัน ไม่ใช่ทรัพย์สินของบุคคล

ส่วนที่เป็นทรัพย์สินเฉพาะบุคคลนั้น แยกเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งต้องเสียภาษีเหมือนคนอื่นๆใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน

ส่วนจะมีมูลค่าเท่าใดนั้นไม่ทราบ

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายเรื่องนี้ได้ที่ http://www.crownproperty.or.th/history.php

หวังว่าปราชาไทได้อ่านแล้วจะเกิดความละอายแก่ใจบ้างนะครับ คนไทยไม่ได้กินหญ้าไปซะทุกคน คิดเองได้ จะคิดอ่านอย่างไร เอาความจริงมาคุยให้หมดดีกว่า

พูดความจริงครึ่งเดียวก็เท่ากับโกหกครับ

5 ความคิดเห็น:

veer กล่าวว่า...

ผมเข้าไปดูก็เห็นมี "อ้างอิง". หรือว่าเขาพึ่งเพิ่มไปทีหลัง? ไม่รู้ว่าของประเทศอื่นเขาแยกทรัพย์สินกันอย่างไรบ้าง?

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ปัญหาว่าถ้าคน comment ในประชาไท แล้วไปหมิ่นสถาบันเข้าและเผยแพร่ออกมา คนที่เกี่ยวข้องกับนสพ.ประชาไทก็จะซวยกันทั้งหมด หรือเปล่า? ทางออกที่ดีไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร? ข่าวเกี่ยวกับสถาบัน อาจจะต้องให้ admin คอย approve ทุกๆ comment. ทางออกนี้อาจจะไม่เสรีเท่าไหร่ แต่ก็เป็นไปเพื่อเสรีภาพทางกายภาพของหลายๆคน.

CrazyHOrse กล่าวว่า...

ขออภัย เพิ่งจะเห็น คคห. ประกอบกับไปตั้งไว้ให้ตรวจสอบก่อนเผยแพร่ คคห.ก็เลยไม่ขึ้นครับ ขออภัย

ผมเห็นด้วยนะครับเรื่องที่ว่าถ้าคนมาโพสต์หมิ่นมันก็ยุ่ง ถือเป็นภาระของ webmaster ที่ต้องดูแล เหมือนที่ทีมของ pantip เขาเหนื่อยอยู่นั่นแหละครับ

ทางออกจะทำอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับทางประชาไทจะเลือกเอง แต่การโพสต์ข่าวที่แปลมาจากต่างประเทศ ถึงจะอ้างอิงไว้ แต่ก็หนีไม่พ้นความเป็นจริงที่ว่า "แกน" ของประชาไทเป็นคนที่มีความรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อนี้ผมจึงเห็นว่าการโฆษณาข่าวนี้โดยปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ดูจะเป็นเจตนาที่ไม่งามนัก

ผมคิดว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีแสดงความนิยมต่อระบอบการปกครองต่างๆ ถึงแม้ไม่ใช่ระบอบที่ใช้อยู่ การพยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ใช้ความรุนแรงและถูกต้องตามกติกาสังคมก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่การจงใจให้ข้อมูลบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยบอกไม่หมด(มีค่าเท่ากับโกหก)นี่ผมว่าไม่ใช่พฤติกรรมของนักประชาธปไตยที่ดี กลายเป็นสะท้อนความคิดนักแก่งแย่งอำนาจเท่านั้นเอง

ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับสังคมเลย

น่ารังเกียจไม่น้อยกว่าสื่อเทียมที่เขากล่าวหาเลย แล้วเจตนารมณ์ของประชาไทคือสื่อเสรีไม่ใช่หรือ?

ไฉนมาทำเสียเองอย่างนี้?

bact' กล่าวว่า...

สุดท้ายประชาไท แม้จะพยายามทดสอบขีดกำจัดบางอย่างในสังคมไทย
แต่ก็หนีไม่พ้น norm ของสังคมไทยอันหนึ่งอยู่ดีนั่นเอง
นั่นก็คือ ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองในบางระดับอยู่ดี สำหรับการพูดหรือเปิดพื้นที่ให้พูดในเรื่องบางเรื่อง

ซึ่งรวมกับในสถานการณ์ที่ถูกจับตา และถูก "หาเรื่องปิด" อยู่เนือง ๆ

ข่าวสถาบันทุกอันในประชาไท จึงจำเป็นต้องปิดการแสดงความคิดเห็นท้ายข่าว ในทุกข่าวที่เกี่ยวกับสถาบันโดยตรง + และข่าวที่เป็นการสัมภาษณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใดบุคคลเดียวและบุคคลนั้นร้องขอให้ปิดการแสดงความเห็นท้ายข่าว (เพราะไม่อยากถูก personal attack)


จะแก้ที่ไหนดี ?

ถ้าคนในสังคมเลิกกลัวได้
เว็บมาสเตอร์ไม่ต้องกลัวถูกปิดเว็บได้

เราก็คงคุยได้ทุกเรื่อง ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์

CrazyHOrse กล่าวว่า...

ประเด็นอยู่ที่ว่า ถึงมีการเซ็นเซอร์ตัวเอง ก็ยังหนีไม่พ้นพวกเหลือบที่อาศัยช่องโหว่ของกติกา แทรกเข้าไปหาประโยชน์อยู่ดี

มนุษย์พันธุ์นี้รู้จักที่จะประกาศจั่วหัวว่า
"ฐานะและความมั่งคั่ง ของบุคคลสำคัญของโลกซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมักสนใจศึกษา ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นจากรายงานข่าวของนิตยสาร Forbes อย่างไรก็ตามบทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็น “ข่าวสาร” ที่ประชาชนพึงมีสิทธิโดยชอบในการรับรู้ ผ่านประชาไทในฐานะ “สื่อมวลชน” ไม่ ได้มีเจตนาที่จะให้เกิดผลในทางบวกหรือลบทางการเมือง ผมในฐานะผู้เขียน จึงขอให้ทางประชาไท ที่อาจพิจารณาตีพิมพ์บทความนี้ โปรดงดการให้แสดงความเห็นในเรื่องนี้"

ในขณะที่ "บทความ" ที่ว่า ก็แค่การแปลข่าวฝรั่งมา โดยตัดข้อความบางส่วนออกไป
"Keep in mind that the wealth of the royals is often shared with extended families and can represent money that is controlled by them in trust for their nation or territory. "

แล้วแทรกส่วนนี้เข้าไปแทน
"สำหรับในหลวงของเราเป็นพระราชาที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 5 จากการจัดอันดับในครั้งนี้ โดยมีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ประมาณ 5,000,000,000.00 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 175,000,000,000.00 บาท พระองค์มีพระราชทรัพย์มากกว่าสมเด็จพระราชินีแห่งเครือจักรภพอังกฤษถึง 8.3 เท่า โดยสมเด็จพระราชินีได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 11 โดยมีพระราชทรัพย์ 600,000,000.00 เหรียญสหรัฐ หรือ 21,000,000,000.00 บาท"

เป็นความฉ้แฉลที่ช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร